เมนู

สั่งสมในภพนี้ จะให้ผลในภพนี้นั่นแหละ กรรมนั้นย่อมมีอยู่ ชื่อว่ากัมมวิบาก
ก็มีอยู่ กรรมใดย่อมปรากฏเป็นอวิบากโดยนัยก่อนนั่นแหละ กรรมนั้นมีอยู่
ชื่อว่ากัมมวิบากย่อมไม่มี. กรรมใดอันสั่งสมแล้วในภพนี้จักให้ผลในอนาคต
กรรนนั้นมีอยู่ ชื่อว่ากัมมวิบากจักมี. กรรมใดจักถึงความเป็นอวิบากโดยนัย
ก่อนนั่นแหละ กรรมนั้นมีอยู่ ชื่อว่ากัมมวิบากจักไม่มี. กรรมใดแม้ตัวเองเป็น
อนาคต แม้วิบากของกรรมนั้นก็เป็นอนาคต กรรมนั้นจักมีชื่อว่ากัมมวิบากก็
จักมี. กรรมใดตัวเองจักมี จักถึงความเป็นอวิบาก (ไม่ให้ผล) โดยนัยก่อน
นั่นแหละ กรรมนั้นจักมีชื่อว่ากัมมวิบากจักไม่มี.
คำว่า อิทํ ตถาคตสฺส (แปลว่า นี้เป็นกำลังของพระตถาคต) นี้
บัณฑิตพึงทราบ ญาณเครื่องกำหนดรู้ความแตกต่างแห่งกรรมและวิบากของ
พระตถาคต โดยอาการแม้ทั้งปวงเหล่านั้นชื่อว่าเป็นกำลังข้อที่ 2 เพราะอรรถว่า
ไม่หวั่นไหว ดังนี้.
นิทเทสแห่งกำลังที่สอง จบ

อธิบายญาณอันเป็นกำลังข้อที่ 3


คำว่า ทาง (มรรค) หรือว่า ปฏิปทา นี้ เป็นชื่อของกรรมนั่นแหละ.
พึงทราบวินิจฉัยในคำว่า นิรยคามินี (แปลว่า ไปสู่นรก) เป็นต้น ชื่อว่า
นรก เพราะอรรถว่าที่เป็นที่ไม่ชอบใจ และเพราะอรรถว่าที่เป็นที่อันหาความ
ยินดีมิได้. ชื่อว่า เดรัจฉาน เพราะอรรถว่า เคลื่อนไหวอัตภาพไปตาม
ขวาง ไม่เหยียดตรงขึ้นไป. เดรัจฉานนั่นแหละ ชื่อว่า กำเนิดสัตว์เดรัจ-
ฉาน.
ชื่อว่า เปรต (ปิตติ) เพราะความเป็นผู้ละไปแล้ว อธิบายว่า เพราะ
ความที่ตนละโลกนี้ไปแล้ว. เปรตนั่นแหละ ชื่อว่า ปิตติวิสัย.